The Omega De Ville series was born around 1960 as part of the larger Seamaster series of watches. It was, at the time, the continuation of the classic dress watch heritage the Seamaster had embodied since 1948, but one that had become less important since the launch of the first dive watch in the series in 1957. It was in 1967 that the De Ville fake collection became independent of the Seamaster line, and began to develop its own individual charm and heritage. These were watches that continued to be dressy, classic, and elegant, but now appealed to a much wider market of consumers through their interesting designs, variety of cases — including squares, rectangles, and ovals — competitive prices, and timelessness of their dials. cheap cartier replicacartier replicaRepliche Orologi Di LussoRepliche Orologi rolexBreitling Replica watchesBreitling Replica ukBreitling Replica watchesCheap Breitling ReplicaBreitling Replicareplica watches chinacheap replica watchescartier replicacartier replica watchescheap Rolex replicaRolex replica watchescheap Rolex replicaRolex replica As you can tell, I like the modern Omega De Ville fake Prestige line. It is a collection far from the limelight that often graces Omega’s flagship collections, and, in my opinion, is one of the last holdouts, in a relatively affordable sense, of a classic watch meant to slip subtly beneath a shirt cuff. Some cheap fake watches are underappreciated, some watches are understated; I feel that this watch happens to be both. Rolex Replica Watchesreplica watches onlinecheap replica watchesomega replicaRolex replicaRolex replicaRolex replica watchescheap replica watchescheap replica watchescheap fake watchescheap fake watchesrolex replica watches
Get Adobe Flash player

อาจารย์อธิปวัฌณ์  อมรปัญญานันท์

รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรม

atipwach.a@rumail.ru.ac.th

Please install plugin JVCounter!

ประวัติความเป็นมา

 

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น อันกอปรด้วยพระอัจฉริยภาพ พระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล พระราชอุตสาหะ วิริยะ และการที่ทรงสละเวลาส่วนพระองค์แม้ในยามดึกดื่นค่ำคืนอย่างเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ พระวรกาย มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน นับตั้งแต่ที่เสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498  ทรงพบว่าราษฎรเดือดร้อนพืชผลเสียหายจากทั้งฝนแล้งและน้ำท่วม  ทำให้ทรงเกิดแนวคิดในการแก้ปัญหาทุกข์ร้อนของราษฎรอย่างฉับพลันในขณะนั้นว่า 

“สมควรที่จะสร้างฝายหรือเขื่อนขนาดเล็ก (Check dams) และอ่างเก็บน้ำจำนวนมากขวางทางน้ำ เพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงการไหลบ่า และเก็บกักน้ำไว้ในฤดูแล้งซึ่งเป็นการบรรเทาสภาวะแห้งแล้งได้ทางหนึ่งที่สำคัญทรงเกิดประกายความคิดด้วยความมั่นพระทัยว่าน่าจะนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยให้เกิดฝนได้ และน่าจะมีวิธีการที่จะรวมเมฆที่กระจายอยู่ในท้องฟ้าแต่ลอยผ่านพื้นที่แห้งแล้งไปหมดดังที่ทรงสังเกตเห็น ในขณะนั้นให้เมฆเหล่านั้นรวมตัวกันเกิดเป็นฝนตกลงสู่พื้นที่แห้งแล้งดังกล่าวได้ อันเป็นต้นกำเนิดของแนวพระราชดำริที่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนเป็น โครงการพระราชดำริฝนหลวงในปัจจุบัน.

 

ที่มาของโครงการพระราชดำริฝนหลวง

นับแต่วันนั้นมา ทรงถ่ายทอดและพระราชทาน   แนวพระราชดำริแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญและนักประดิษฐ์ด้านเกษตรวิศวกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ร่วมทำการศึกษาทบทวนเอกสารวิชาการ ที่เกี่ยวข้อง และให้วิจัยและค้นคว้าหาลู่ทางที่จะทำให้  แนวพระราชดำริมีความเป็นไปได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา จนสามารถทำการค้นคว้าทดลองในท้องฟ้าได้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2512 ซึ่งประสบความสำเร็จตามข้อสมมติฐานที่ทรงคาดหมายไว้ สร้างความเชื่อมั่นในแนวพระราชดำริยิ่งขึ้น

จึงได้มีการดำเนินการในรูปโครงการค้นคว้าทดลอง   ทำฝนเทียม ในปี 2513 โดยให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล      เป็นผู้อำนวยการโครงการ มิใช่เพียงทรงก่อให้เกิดแนวพระราชดำริขึ้นมาเท่านั้น แต่ทรงร่วมในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และโปรดเกล้าฯ ให้นำเทคโนโลยีที่ทรงค้นพบ ไปประยุกต์ในการปฏิบัติการฝนหลวงหวังผล ด้วยพระองค์เองอย่างต่อเนื่องใกล้ชิดตลอดมา รวมทั้งทรงบัญชาการปฏิบัติการสาธิตเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี และทรงบัญชาการคณะปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษที่โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อเกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงจนเกินกำลังของคณะปฏิบัติการ ฝนหลวงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีอยู่อย่างจำกัด.

ด้วยพระปรีชาสามารถ การวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวง จึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนทรงสามารถสรุปขั้นตอนกรรมวิธีการดัดแปลงสภาพอากาศให้เกิดฝน คือ ก่อกวน  เลี้ยงให้อ้วน และโจมตี พระราชทานให้ใช้เป็นเทคโนโลยี     ในการปฏิบัติการฝนหลวงแบบหวังผล ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา นับว่าจุดหมายขั้นตอนการวิจัยแล้ว แต่การพัฒนากรรมวิธียังมิได้สิ้นสุดหรือหยุดยั้งเพียงนั้น ยังทรงพัฒนาเทคนิคที่จะเสริมให้การปฏิบัติการในแต่ละขั้นตอนกรรมวิธี ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ สภาพอากาศประจำวัน     ในแต่ละช่วงเวลา และฤดูกาลของแต่ละพื้นที่ เป้าหมายปฏิบัติการที่แตกต่างกัน และให้สอดคล้องกับทรัพยากรสนับสนุนของแต่ละคณะปฏิบัติการ เช่น

ที่มาของโครงการพระราชดำริฝนหลวง 4

 เทคนิคที่โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า เทคนิคการโจมตี เมฆอุ่นแบบ SANDWICH”

  • เทคนิคการชักนำกลุ่มเมฆฝนจากเทือกเขาสู่ที่ราบ การชักนำฝนจากพื้นที่ที่ไม่ต้องการฝนไปยังพื้นที่ที่ต้องการ
  • เทคนิคการใช้สารเคมีแบบสูตรสลับกลุ่มเมฆ ที่ก่อตัวในหุบเขาให้เกิดฝน เป็นต้น
  • เทคนิคดังกล่าวเป็นเทคนิคการทำฝนจากเมฆอุ่น ใช้ในการปฏิบัติการหวังผล ต่อเมื่อมีแต่เครื่องบินแบบ ไม่ปรับความดันให้ใช้ในการปฏิบัติการเท่านั้น เทคนิคเหล่านั้นยังคงใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

จนถึง พ.ศ. 2542 ได้เกิดสภาวะแห้งแล้งรุนแรงในปี พ.ศ. 2541 ต่อเนื่องมาจนถึงฤดูแล้งของปี พ.ศ. 2542 ถึงขั้นเกิดภาวะวิกฤติต่อพื้นที่เกษตรกรรม ปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อน สภาพสิ่งแวดล้อม (เช่น ไฟป่า น้ำเค็มขึ้นสูง เป็นต้น) และการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดส่งคณะปฏิบัติการฝนหลวงกู้ภัยแล้ง พ.ศ. 2542 ในการปฏิบัติการนี้ นอกจากจะทรงฟื้นฟู ทบทวนเทคนิค และเทคโนโลยีฝนหลวงที่เคยใช้อย่างได้ผลมาแล้วในอดีตแล้ว ยังพระราชทานข้อแนะนำทางเทคนิคเพิ่มเติมรวมทั้งทรงพัฒนาเทคนิคการโจมตี โดยทรงนำผลการทดสอบเทคนิคการโจมตีเมฆเย็นที่สัมฤทธิผลอย่างน่าพอใจ มารวมกับเทคนิคการโจมตีเมฆอุ่นและโปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า“เทคนิค     การโจมตี แบบ SUPER SANDWICH” อันเป็นนวัตกรรมใหม่   ที่พระราชทานให้ใช้เป็น เทคโนโลยีฝนหลวงล่าสุด 

 ตำราฝนหลวงพระราชทาน